คณะ/สำนัก/หน่วยงาน วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ชื่อโครงการ สร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในการประเมินและลดผลกระทบของอุตสาหกรรม เตาเผาอิฐที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ลักษณะโครงการ อื่นๆ : โครงการภาพรวมของคณะที่เน้นความเข้มแข็งของชุมชน ความสอดคล้องกับมาตรการ / นโยบายของมหาวิทยาลัย | |||
ผู้รับผิดชอบ |
นายปาริชาติ วงศ์เสนา | คุณวุฒิ : ปริญญาเอก สาขา : แพทยศาสตร์ วุฒิบัตรผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาพยาธิวิทยากายวิภาค |
ประสบการณ์ : กลุ่มงานพยาธิวิทยากายวิภาค รพ. สรรพสิทธิประสงค์ 2545-2550 ความเชี่ยวชาญ : พยาธิวิทยากายวิภาค |
|||||||||
นางสาวปัณฑิตา สุขุมาลย์ | คุณวุฒิ : ปริญญาโท สาขา : สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต |
ประสบการณ์ : -ผู้จัดรายการปัญหาสุขภาพ สถานีวิทยุ FM. 98.5 มุกดาหาร ปี 2548 - 2550
-ผู้ร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำต้นแบบด้านสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมตำรวจตะเวนชายแดน งบปี 2555
-ผู้ร่วมโครงการ การตรวจสุขภาพนักเรียน หิด เหา ปี 2554
-ผู้ร่วมโครงการอนามัยสิ่งแวดล้อมตำรวจตะเวนชายแดน งบปี 2555
-ผู้ร่วมโครงการการดูแลผู้สูงอายุ 2556
-ผู้ร่วมโครงการวิจัย โครงการวิจัย รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัยโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน กรณีศึกษา : บ้านหัวเรือทอง หมู่ 16 ตำบลหัวเรือ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ทุนวิจัย สกว.
-บทความวิจัย ความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคอ้วนในเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีภาวะโภชนาการเกิน ความเชี่ยวชาญ : การให้คำปรึกษาครอบครัวและชุมชน การสื่อสารปัญหาชุมชน อนามัยชุมชน |
|||||||||
นางลักษณีย์ บุญขาว | คุณวุฒิ : ปริญญาโท สาขา : การจัดการสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม |
ประสบการณ์ : - ความเชี่ยวชาญ : อาชีวอนามัยและความปลอดภัย |
หลักการและเหตุผล ในพื้นที่ของตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้มีการประกอบอาชีพทำอิฐมอญแดงที่ได้สร้างรายให้กับคนในพื้นที่ได้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ทำให้มีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบโดยในพื้นที่ตำบลหนองกินเพลมีทั้งสิ้น 9 หมู่บ้าน มีหมู่บ้านที่ประกอบอาชีพทำอิฐมอญแดงขายมากที่สุด 2 หมู่บ้านคือ หมู่ 2 และหมู่ 6 มีจำนวนโรงเผาอิฐมอญแดงประมาณทั้งสิ้นจำนวน 50 โรงเผา ซึ่งในแต่ละโรงมีพนักงานทำงานประมาณ 5-7 คน โดยขั้นตอนของการทำอิฐมอญนั้นจะมีความเสี่ยงในทุกขึ้นตอน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการรับดิน การปั้นอิฐด้วยเครื่อง การตากอิฐ และการเผาอิฐด้วยแกลบ โดยเฉพาะขั้นตอนการเผาอิฐด้วยแกลบที่ทำการเผาในที่โล่งส่งผลให้มีฝุ่นที่เป็นมลพิษทางอากาศเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายและเกิดควันจากการเผาตลอดเวลา
ปัจจุบันผู้ประกอบอาชีพกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งจะได้รับความเสี่ยงต่อสุขภาพโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะจากการรับสัมผัสฝุ่นที่เป็นมลสารทางอากาศจากการเผาอิฐมอญแดงอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพคือเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โดยจากข้อมูลรายงานสถิติสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ พ.ศ. 2552 การจัดลำดับอัตราผู้ป่วยนอกตามกลุ่มสาเหตุการป่วย 10 กลุ่มแรก ทั้งประเทศและรายภาคไม่รวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2552 พบว่าโรคที่ติดลำดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือมีอัตราการป่วยด้วยโรคระบบหายใจ 397.59 ต่อประชากร 1,000 คน (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์, 2552) และสอดคล้องกับข้อมูลการสถิติการเจ็บป่วยของคนในพื้นที่ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปากกุดหวาย พบว่า ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2555-2556 พบชาวบ้านเข้ารับการรักษาอาการหอบหืด (Asthma) จำนวน 351 คน และมีอาการป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง จำนวน 83 คน (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปากกุดหวาย, 2556) จากข้อมูลดังกล่าวหากผู้ประกอบอาชีพอิฐมอญแดงอยู่ในสภาวะที่มีฝุ่นมลสารทางอากาศตลอดทั้งปี อันเกิดจากการปล่อยออกของกระบวนการผลิตในขั้นตอนการเผาอิฐมอญโดยที่ผู้ปฏิบัติงานยังขาดความรู้ในเรื่องอนุภาคฝุ่นในการป้องกันตนเอง ไม่สวมอุปกรณ์ป้องกันเนื่องจากความไม่สะดวก ซึ่งในอนาคตอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจอย่างแพร่หลายและหากบริเวณแหล่งกำเนิดมีปริมาณความเข้มข้นของฝุ่นละอองทางอากาศเกินมาตรฐานจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานจากการประกอบอาชีพเผาอิฐมอญหรือประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงได้รับความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยฝุ่นละอองรวม (Total Dust) และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Respirable Dust) จะมีผลต่อระบบหายใจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจส่วนต้นทำให้หายใจไม่สะดวก ความเสี่ยงต่อตาที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง กระทบต่อจิตใจก่อให้เกิดความรำคาญ ส่วนฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนปลายได้จะสามารถเข้าถึงทางเดินหายใจส่วนล่างและถุงลมปอดทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและโรคปอดซึ่งหากได้รับติดต่อกันเป็นระยะเวลานานและมีปริมาณมาก อีกทั้งฝุ่นละอองจะสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อปอดเกิดเป็นพังผืดหรือแผลเป็นทำให้การทำงานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลดลง หลอดลมอักเสบ มีอาการหอบหืด ถุงลมโป่งผอง และมีโอกาสติดโรคระบบทางเดินหายใจเนื่องจากการติดเชื้อมากขึ้น (สุจิรา ประสารพันธ์, 2545)
จากสภาพปัญหาดังกล่าวทางคณะผู้ได้ตระหนักถึงผลกระทบของฝุ่นที่จะส่งผลต่อสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพและประชาชนที่อยู่โดยรอบโรงงานอิฐมอญ จึงมีแนวคิดที่จะทำการศึกษาข้อมูลปริมาณฝุ่น เพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 6 ที่มีจำนวนโรงเผาอิฐมอญแดงมากที่สุด เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและการเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยจะเริ่มจากการกำหนดกลุ่มเสี่ยงต่อการเจ็บป้วย ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่สูบบุหรี่ ข้อมูลที่ได้จากทุกขั้นตอนจะมีการส่งมอบให้กับชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประกอบการวางแผนและป้องกันสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ให้มีความยั่งยืนต่อไป
|
||
วัตถุประสงค์ | ||
กลุ่มเป้าหมาย |
||
ผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอิฐมอญ ประชาชนกลุ้มเสี่ยงในพื้นที่ หมู่ 2 และ หมู่ 6 ตำบลหนองกินเพล ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้เจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ และผู้สูบบุหรี่ |
||
การดำเนินโครงการ (ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินงานโครงการฯ)
1. จัดทำแผนที่เดินดินเพื่อประเมินการกระจุกและกระจายตัวของเตาเผาอิฐระยะห่างจากชุมชนตลอดจนภูมิประเทศของพื้นที่ตั้งเตาเผาอิฐ
2.ติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดฝุ่นละอองแบบติดที่ตัวบุคคล สำหรับคนงานของโรงอิฐมอญละ 1 คน จำนวน 50 จุด
3. ตรวจวัดฝุ่นละอองแบบพื้นที่บริเวณโรงงานอิฐมอญจำนวน 50 จุด
4.ตรวจวัดฝุ่นละอองแบบพื้นที่บริเวณพื้นที่ชุมชนจำนวน 25 จุด (ตัวแทนพื้นที่ในชุมชนโดยคิดจากพื้นที่ที่ความหนาแหน่นของโรงเผาอิฐ จำนวนประชาชน ทิศทางลม สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน และพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อผลกระทบ ได้แก่ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น)
5. รายงานผลต่อประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น รพ.สต. ผู้นำชุมชน เพื่อรับทราบสถานการณ์และวางแผนกำหนดพื้นที่ที่ต้องดำเนินการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ
5. ประเมินสมรรถภาพของปอดและภาวะสุขภาพในประชากรกลุ่มเสี่ยง |
ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ||
1.ประสานงานผู้รับผิดชอบพื้นที่และผู้นำชุมชน | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | 20,000.00 | |
2.ประชุมชี้แจงโครงการ | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | 0.00 | |
3.ตรวจวัดปริมาณฝุ่นละออง พร้อมสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงประชาชกร | - | - | - | - | - | - | 100,000.00 | ||||||
4.ประเมินการสมรรถภาพของปอดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ | - | - | - | - | - | - | - | - | - | 40,000.00 | |||
5.ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | 40,000.00 | |
6.สรุปคืนข้อมูลให้กับชุมชน | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | 0.00 | |
7.สรุปผลโครงการและจัดทำรายงานโครงการฉบับสมบูรณ์ | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | - | 0.00 |
ระยะเวลาการดำเนินการ |
ร่างกำหนดการดำเนินงาน |
14.00 น. | ประชุมคณะกรรมการโครงการ | อ. นิตยา จิตบรรเทิง | |
13.00 น. | ประชุมหารือร่วมกับ รพ.สต. ปากกุดหวาย อบต. หนองกินเพล งานอาชีวอนามัยโรงพยาบาลวารินชำราบ และ สสจ. อุบล | ผู้รับผิดชอบโครงการ | |
9.00-12.00 น. | ประชุมชี้แจงโครงการต่อผู้นำชุมชน | ผู้รับผิดชอบโครงการ | |
ลงพื้นที่ตรวจวัดปริมาณฝุ่นละออง พร้อมสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงประชากร | อ. นิตยา จิตบรรเทิง | ||
ตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอดในประชากรกลุ่มเสี่ยง | พญ. ศุทธินี ตรีโรจน์พรและคณะ | ||
ประมวลและวิเคราะห์ข้อมูล | อ. นิตยา จิตบรรเทิง | ||
สรุปคืนข้อมูลให้ชุมชน | อ. นิตยา จิตบรรเทิง |
ผลที่คาดว่าจะได้รับในการดำเนินโครงการฯ |
||
ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ |
จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ | ||
ความพึงพอใจของผู้ร่วมโครงการ | ||
ผู้ร่วมโครงการที่นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ | ||
ระดับความรู้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากร่วมโครงการ | ||
ความคุ้มค่าของงบประมาณต่อผู้ร่วมโครงการ |
ตัวชี้วัดด้านประกันคุณภาพ
|
การติดตามและประเมินผล |
การประเมินและรายงานผลการดำเนินงาน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รายละเอียดงบประมาณ
งบประมาณทั้งสิ้น 200,000.00 บาท
|