หลักการและเหตุผล
โลกของการค้ามีการพัฒนาเร็วขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าในยุคของโลกาภิวัฒน์ที่การสื่อสารโทรคมนาคมสามารถสื่อสารกันได้อย่างไร้พรมแดน ส่งผลให้การแข่งขันทางการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น ในอดีตการแข่งขันทางการค้ามักเน้นที่ต้นทุนการผลิตโดยเน้นผลิตจำนวนมากเพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำที่สุดในลักษณะของการผลิตแบบ Mass production หลังจากนั้นวิวัฒนาการโดยการหันมาเน้นแข่งขันกันในเรื่องของคุณภาพ แต่ปัจจุบันการแข่งขันทางด้านคุณภาพ ราคา และตราสินค้าไม่ใช่สิ่งที่พอเพียงอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในขณะที่คุณภาพและราคาของคู่แข่งใกล้เคียงกันจะวัดกันที่ใครสามารถส่งมอบสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วกว่ากันมากกว่า นอกจากการมีคุณภาพที่ดีในราคาที่ถูกแล้ว ธุรกิจต้องคำนึงถึงเรื่องการแข่งขันทางด้านเวลา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในโลกของการค้ายุคโลกาภิวัฒน์เช่นนี้ เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า คือระบบของการจัดการทางด้านโลจิสติกส์ซึ่งมีความสำคัญต่อการแข่งขันทางธุรกิจทั้งในด้านของการจัดการด้านต้นทุน และความเร็ว
สำหรับประเทศไทยนั้น ในการจัดอันดับดัชนีความสามารถในการแข่งขันของนานาประเทศ ประจำปีพ.ศ.๒๕๕๒-๒๕๕๓ รวม ๑๓๔ ประเทศทั่วโลก โดยเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปรากฏว่าดัชนีความสามารถในการแข่งขันของไทยร่วงลงไป ๒ อันดับ จาก ๓๔ ลงไปที่ ๓๖ ซึ่งเป็นการร่วงลงติดต่อกันเป็นปีที่สอง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลมากจากหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สภาพภูมิประเทศ-ภูมิอากาศที่แปรปรวน การเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น ทำให้การแข่งขันมากขึ้น เป็นต้น
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) เป็นภาคธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศ สถานการณ์ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นถือว่าเป็นผลกระทบทางอ้อมอย่างหนึ่งของ SMEs เพราะการอยู่รอดของผู้ประกอบการไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจพื้นฐานมากกว่า ซึ่งสาเหตุสำคัญมากจากกำไรที่ลดน้อยลงแม้ว่ารายได้ท่าเดิม เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าวัตถุดิบ พลังงาน และการขนส่ง เป็นต้น วิธีการหนึ่งที่จะช่วยในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในส่วนของต้นทุน คือ การจัดการโลจิสติกส์ (Logistic Management) ที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับความเป็นไปได้ที่ธุรกิจของไทยจะลดต้นทุนทางธุรกิจได้อีกมาก เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทย มีข้อเสียเปรียบทางด้านต้นทุนโลจิสติกส์สูง สังเกตได้จากปัจจุบันสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศสูงถึงร้อยละ ๑๙ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริการ้อยละ ๑๐ ประเทศในกลุ่มยุโรบร้อยละ ๗ และญี่ปุ่นร้อยละ ๑๑ (ที่มา:www.108acc.com.โลจิสติกส์กับการลดต้นทุนของธุรกิจ SME.ชมัยพร วิเศษมงคล.ที่ปรึกษา SMEs สสว.)
จังหวัดมุกดาหารก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจซึ่งมีผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมากและเป็นจังหวัดที่มีเส้นทางในขนส่งสินค้าที่สำคัญในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs จังหวัดมุกดาหารจึงถือได้ว่าเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับนาประเทศ
วิทยาเขตมุกดาหาร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นในการนำการจัดการโลจิสติกส์มาใช้จึงจัดโครงการ ?การจัดการโลจิสติกส์กับการลดต้นทุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)? ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการลดต้นทุนทางธุรกิจอันส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในจังหวัดมุกดาหารและเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับผู้ที่สนใจทั่วไปอีกด้วย
|
วัตถุประสงค์
|
1.เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจแนวคิดและความสำคัญของการจัดการโลจิสติกส์ | 2.เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | 3.เพื่อเป็นแนวทางในการลดต้นทุนทางธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | 4.เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในทางวิชาการระหว่างวิทยากร คณาจารย์และผู้ประกอบการธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | |
กลุ่มเป้าหมาย |
คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ
๑.คณาจารย์จำนวน ๑๐ คน
๒.ผู้ประกอบการธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำนวน 15 คน
๓.บุคคลทั่วไปที่สนใจ จำนวน 5 คน
๔.นักศึกษา จำนวน ๑๐ คน
|
จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ
40 คน
|
การดำเนินโครงการ (ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินงานโครงการฯ)
1. กิจกรรมและวิธีดำเนินการ
ขั้นตอนการดำเนินงานโครงการฯ
๑. เตรียมการสัมมนา
๒. ดำเนินการสัมมนา
๓. สรุปผลการสัมมนา
2. แผนการดำเนินงาน (ที่สัมพันธ์กับกิจกรรมดำเนินงาน)
|