คณะ/สำนัก/หน่วยงาน คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ชื่อโครงการ การพัฒนาสินค้าชุมชนอย่างครบวงจรเพื่อยกระดับสินค้าคุณภาพเชิงพาณิชย์วิสาหกิจชุมชน 4 องค์การบริหารส่วนตำบลรอบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ลักษณะโครงการ การฝึกอบรม อบรมเชิงปฏิบัติการ ความสอดคล้องกับมาตรการ / นโยบายของมหาวิทยาลัย | |||
ผู้รับผิดชอบ |
ผศ.ดร.อุทัย อันพิมพ์ | คุณวุฒิ : ปริญญาเอก สาขา : พัฒนบูรณาการศาสตร์ |
ประสบการณ์ : การผลิตเห็ด
การผลิตไม้ดอกไม้ประดับ
การขยายพันธุ์พืช
การจัดการความรู้
เศรษฐกิจพอเพียง ความเชี่ยวชาญ : การจัดการความรู้เรื่องเห็ด การบริหารจัดการฟาร์มเกษตรแบบผสมผสาน (เกษตรประณีต) เศรษฐกิจพอเพียง การจัดการทรัพยากรมนุษย์ |
|||||||||
ดร.สุมาลี เงยวิจิตร | คุณวุฒิ : ปริญญาเอก สาขา : บริหารธุรกิจ |
ประสบการณ์ : สอนสาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ
ความเชี่ยวชาญ : Supply Chain & Logistics International Business Import/Export Management |
|||||||||
ดร.สุขวิทย์ โสภาพล | คุณวุฒิ : ปริญญาเอก สาขา : Ph.D. Crop Science |
ประสบการณ์ : ผู้ร่วมโครงการวิจัย การศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการที่มีต่อการให้บริการของเทศบาลตำบลโพนทราย อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2549
ผู้ร่วมโครงการวิจัย การจัดการความรู้เกษตรอินทรีย์ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พ.ศ.2550
ผู้ร่วมโครงการวิจัย โครงการวิจัยการประเมินผลโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากศูนย์คุณธรรมพ.ศ.2551
ผู้ร่วมโครงการวิจัย โครงการวิจัยเรื่องการบริหารจัดการหนี้ของเกษตรกรลูกค้าธ.ก.ส.
พ.ศ.2551
ผู้ร่วมโครงการวิจัย โครงการวิจัยประเมินผล โครงการปลูกป่าไม้ใช้หนี้เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจน พ.ศ.2551
สุขวิทย์ โสภาพล .2553. แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเน้นให้ผู้เรียน เรียนรู้ แสวงหาและค้นพบความรู้ด้วยตนเองในวิชาสหวิทยาศาสตร์ชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง.วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม. 10 2: 172-180.
ผู้ร่วมโครงการวิจัย รูปแบบการบริหารจัดการองค์กรและการจัดการตลาดกลุ่มข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษบ้านราษฎร์เจริญ ตำบลท่าลาด อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.2554.
หัวหน้าโครงการวิจัย การศึกษารูปแบบการปรับตัวของเกษตรกรนาน้ำฝนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ พ.ศ.2555
ความเชี่ยวชาญ : เกษตรอินทรีย์ การพัฒนาที่ยั่งยืน เศรษฐกิจพอเพียง พุทธเศรษฐศาสตร์ |
หลักการและเหตุผล การพัฒนาประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจเสรีนิยมที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดการฟาร์มของเกษตรรายย่อยเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากสภาวการณ์การเป็นหนี้ของเกษตรกรนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกษตรกรละทิ้งอาชีพเกษตรกรรมหันไปรับจ้างในเมืองมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการทำฟาร์มของเกษตรกรรายย่อยประสบกับภาวะต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตตกต่ำ ขายไม่ได้ราคา จึงทำให้รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ส่งผลให้กับเกษตรกรรายย่อยประสบกับความยากจน และนับวันที่จะแผ่ขยายในวงกว้างทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งทางด้านจิตลักษณะโดยมีองค์ประกอบ 7 ประการ ได้แก่ (1) จนเงิน (2) จนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (3) จนทางสังคม (4) จนทางการเมือง (5) จนการศึกษา (6) จนทางวัฒนธรรม และ (7) จนทางจิตวิญญาณ ไร้สิ่งยึดมั่นทางจิตใจ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม และนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากรายงานการวิจัยของอุทัย อันพิมพ์ (2554) พบว่าการที่เกษตรกรไม่สามารถที่จะรักษาอาชีพของตนให้อยู่ได้นั้นเนื่องมาจากความรู้ไม่พอใช้ เพราะในการทำฟาร์มของเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่มีการบริหารจัดการฟาร์มในลักษณะทำตามกันมา เกษตรกรไม่ได้ศึกษาองค์ความรู้ซึ่งเป็นองค์ประกอบในการทำฟาร์มอย่างรอบด้านและไม่ครอบคลุมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างรอบด้าน จึงนับว่าเป็นความล้มเหลวของการทำฟาร์มของเกษตรกรรายย่อย แต่ก็มีอยู่บ้างที่ประสบความสำเร็จ แต่อยู่ในระดับที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของประเทศ และเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะเป็นเกษตรกรที่มีฐานะอยู่ในระดับปานกลางที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ขึ้นไป ในขณะที่เกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งนับได้ว่าเป็นเกษตรกรในระดับรากหญ้าที่มีฐานะไม่ค่อยจะสู้ดีนัก (ยากจน) ในสังคม ที่จะต้องต้องหาเช้ากินค่ำ และประกอบอาชีพการเกษตรมาอย่างยาวนาน กลับพบว่ายิ่งทำการเกษตรมากเท่าใดก็ยิ่งมีความยากจนมากยิ่งขึ้น พร้อมกับมีภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เกษตรกรไม่สามารถเลี้ยงตนเอง และครอบครัวได้อย่างมีความสุข ซึ่งเป็นภาพที่เห็นตามสื่อต่างๆ และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน จากรายงานของการวิจัยของนายแพทย์อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร, (2549) ซึ่งร่วมทำงานกับเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน และอุทัย อันพิมพ์, (2550) พบตรงกันว่า จากแนวทางการพัฒนาอาชีพการเกษตรที่ผ่านมาโดยมุ่งเน้นการผลิตแบบเชิงเดี่ยว เน้นการผลิตที่มุ่งหวังผลผลิต และกำไรมากๆ ได้ส่งผลให้เกษตรกรขาดความมั่นคงในชีวิต รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย สุดท้ายจึงทำให้เกษตรกรเป็นหนี้เป็นสินเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาอีกประการหนึ่งคือ กระบวนการส่งเสริมของภาครัฐ ที่พยายามให้ทั้งความรู้ทางวิชาการ และปัจจัยการผลิตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งส่งผลระยะยาวแบบซึมซับ สุดท้ายเกษตรกรจึงขาดความเชื่อมั่นในตนเองทั้งด้านความรู้วิชาการและภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ตนเองสั่งสมมาจากบรรพบุรุษ และประสบการณ์ จากสภาพปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับสังคมอาชีพเกษตรกรรม เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน จึงมีความเห็นว่าแนวทางที่จะทำให้อาชีพเกษตรกรรมนั้นสามารถดำรงอยู่ และสามารถเลี้ยงตนเอง และครอบครัวให้มีความสุขได้คือเกษตรกรจะต้องหันมาทำ “เกษตรประณีต” ที่อุทัย, (2550) ได้ให้ความหมายว่า “เกษตรประณีตเป็นกระบวนการเรียนรู้ในการทำเกษตรผสม โดยเริ่มต้นจากพื้นที่เล็กๆ ก่อน เมื่อมีความรู้และความชำนาญแล้ว จึงขยายพื้นที่ให้มากขึ้น ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพของตนและครอบครัว” ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถที่จะทำให้เกษตรกรมีความยั่งยืนในอาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับ ศ.เสน่ห์ จามริก. (2541) ได้กล่าวว่าในการศึกษาชุมชนชนบท หรือการที่คนในชนบทจะสามารถดำรงชีพได้อย่างมีความสุขนั้นจะต้องประกอบด้วย 3 มิติ ได้คือ มิติที่ 1 ต้นทุนชีวิต เอาไว้เป็นฐาน พวกธรรมชาติ พวกดิน แหล่งน้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ ที่ใช้เป็นต้นทุนชีวิตเนื่องจากซื้อขายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคนหนึ่งจะตกเป็นเหยื่อของอีกคนหนึ่ง เราต้องสร้างความเข้าใจ สร้างความสำนึกให้จงได้ เราจะจัดการการเรียนรู้อย่างไร มิติที่ 2 ดุลยภาพชีวิต ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน สุขภาพอนามัย ครอบครัว สภาพแวดล้อม ชนบทมีความสบายเรื่องอาหาร แต่ต้องมีการพัฒนาสิ่งนี้ให้ถูกสุขลักษณะสมัยใหม่ ความรู้วิทยาศาสตร์เบื้องต้นต้องรู้ และมิติที่ 3 การพัฒนาชีวิต และสังคมไปกับกระแสของโลกภายนอก คือกระแสการพัฒนาชนบท ซึ่งได้แก่ เรื่องของการแปรรูป เพิ่มมูลค่าการออม กองทุนชุมชน และเศรษฐกิจท้องถิ่น ฯลฯ วัฒนธรรมการเรียนรู้ มีแกนกลางคือ คน ครอบครัว และชุมชน ดังนั้น คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในฐานะที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนด้านบริหารศาสตร์ และเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีประณิธานที่ว่า “คณะบริหารศาสตร์ รวมทุกศาสตร์ด้านการบริหาร” จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมกันในการจัดการเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการการตลาดตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง อันจะนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ การบริหาร |
|
วัตถุประสงค์ | |
กลุ่มเป้าหมาย |
|
เกษตรกรในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลที่อยู่รอบๆ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีประกอบด้วย ตำบลธาตุ ตำบลเมืองศรีไค ตำบลคำขวาง และตำบลโพธิ์ใหญ่ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี |
|
การดำเนินโครงการ (ขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินงานโครงการฯ)
1. กิจกรรมและวิธีดำเนินการ
อบรมเชิงปฏิบัติการ 1.หลักการ แนวคิด และเงื่อนไขแห่งความสำเร็จในการทำการตลาดกลางสินค้าเกษตรชุมชน และการประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง 2.หลักการคัดเลือกสินค้าเพื่อนำมาวางจำหน่ายในตลาดกลาง 3.หลักการการตั้งราคา และการจัดเรียงสินค้าเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ 4.แนวทางในการขนส่งสินค้าเกษตรสู่ตลาดอย่างมีคุณภาพ 5. ลงพื้นที่สัมภาษณ์ศึกษาข้อมูลของชุมชนและร่วมอภิปรายความเป็นไปได้ด้านการขยายสินค้าสู่ระบบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6. อบรมการพัฒนาโปรแกรมอย่างง่าย 7.หลักการ แนวคิด และเงื่อนไขแห่งความสำเร็จในการทำเกษตรประณีตเกษตรประณีต และการประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง 8.การบริหารจัดการฟาร์มเกษตรประณีต : แนวทางการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน (การเพิ่มผลผลิตเห็ด และข้าว) 9.การจัดการการตลาดเห็ดและสินค้าเกษตร 10.การจัดการความรู้ด้านบัญชีเพื่อการพัฒนาอาชีพที่ยั่งยืน 11.การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เกษตรประณีต ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง 12.กรณีศึกษาการทำเกษตรประณีต ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
|
ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ||
1.วางแผนการดำเนินงาน ติดต่อประสานงาน การวางแผนการฝึกอบรมให้ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การยกระดับคูณภาพของผลิตภัณฑ์ | - | 120,000.00 |
ระยะเวลาการดำเนินการ |
ร่างกำหนดการดำเนินงาน |
ผลที่คาดว่าจะได้รับในการดำเนินโครงการฯ |
||
ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ |
จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ | ||
ความพึงพอใจของผู้ร่วมโครงการ | ||
ผู้ร่วมโครงการที่นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ | ||
ระดับความรู้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากร่วมโครงการ | ||
ความคุ้มค่าของงบประมาณต่อผู้ร่วมโครงการ |
ตัวชี้วัดด้านประกันคุณภาพ
|
การติดตามและประเมินผล |
การประเมินและรายงานผลการดำเนินงาน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รายละเอียดงบประมาณ
งบประมาณทั้งสิ้น 90,340.00 บาท
|