นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาล เป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดประเด็นหนึ่งในช่วงเวลานี้ โดยมีนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆออกมาแสดงความเห็นถึงผลกระทบทั้งด้านลบและด้านบวก ผลกระทบด้านลบข้อหนึ่งคือ ต้นทุนที่สูงขึ้นของสถานประกอบการที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก และแน่นอนที่สุด ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยมี จำนวนกว่า 2.9 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 99.6 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมดย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ( สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ; http://www.sme.go.th/Lists/EditorInput/DispF.aspx?ID=1433, 25/10/54 ) จากการศึกษาของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้โครงการจัดทำตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของ SMEs (SME I/O Table) พบว่า โครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานและเงินเดือนของ SMEs เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 16.2 ของต้นทุนปัจจัยการผลิตทั้งหมด ดังนั้นหากค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.16 ซึ่งผลจากการปรับค่าจ้างแรงงานครั้งล่าสุดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา มีการปรับค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 6.4 ส่งผลให้ต้นทุนของกิจการในด้านค่าใช้จ่ายแรงงานเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.03 ( http://www.sme.go.th/Lists/EditorInput/DispF.aspx?ID=1433, 25/10/54 ) ข้อมูลการเพิ่มขึ้นของค่าแรงงานและต้นทุน กรณีที่มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ของจังหวัดอุบลราชธานี ค่าจ้างแรงงานปัจจุบัน 171 บาท/วัน ค่าแรงงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ 75.4 ต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 (ที่มา : จากการศึกษาของ สสว. ภายใต้โครงการ SME I/O Table) จากข้อมูลข้างต้น หากผู้ประกอบการไม่มีการปรับตัวแล้วเป็นเรื่องยากที่ธุรกิจจะดำเนินต่อไปได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการควรมีการปรับตัวโดยการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงานให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงไปได้ส่วนหนึ่ง โครงการ ? เพิ่มศักยภาพ SMEs ด้วยการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ?นั้นจะทำให้ผู้ประกอบการ เข้าใจหลักการและวิธีการเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งหากนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรของตนแล้ว จะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจได้